ทริปการเเต่งเว็ป


วิธีใส่ icon หน้า URL


icon หน้า URL เรียกว่า Favorites Icon เป็นคุณลักษณะที่ทำให้มันเป็นที่จะเชื่อมโยงโลโก้พิเศษหรือกราฟิก ที่มีขนาดเล็กหน้าเว็บ favicon จะปรากฏมักจะไปที่ที่อยู่เว็บไซต์เหมือนวิธีที่ไอคอนทางลัดที่ใช้บนเดสก์ทอปของคอมพิวเตอร์ที่จะแยก

โปรแกรมคอมพิวเตอร์และแฟ้ม favicons สามารถถูกใช้เพื่อกำหนดหรือแบรนด์เว็บไซต์ เพื่อความสวยงาม บ่งบอกถึงเว็บไซต์ต่างๆ

ปัจจุบันเบราว์เซอร์หลักที่สนับสนุน favicons มีดังนี้ Internet Explorer 5 / 6 +, Firefox 1 +, Mozilla 1 +, Netscape 7 +, Opera 7 +, Konqueror 3+, Safari

วิธีทำ Icon ของเว็บไซต์
1. เตรียมรูปภาพที่จะทำ Icon ขนาด 16x16 พิกเซล Save เป็น สกุล .gif , .jpg, .bmp หรือ .png ก็ได้

2. เมื่อได้รูปแล้วต้องเอารูปไปแปลงเป็นไฟล์สกุล .ico ซึ่งเราสามารถใช้โปรแกรมแปลงไฟล์ เช่น AWicons Lite , AtoBsoft PNG to ICO Converter หรือตามเว็บที่ให้แปลงไฟล์ก็ได้ โดย เข้าไปที่ URL ดังนี้ http://tools.dynamicdrive.com/favicon/ หรือ http://favicon.htmlkit.com/favicon/

3. กด Browse หรือกดเรียกดู เพื่อเลือกไฟล์ที่รูปภาพ

4.เลือกเสร็จก็กด Upload it! รอซักพัก แล้วแต่ขนาดไฟล์ ถ้ารูปใหญ่ก็รอนาน

ดูตรง Host It at IconJ.com: (Direct Link) แล้วก็อปโค้ดมา

สำหรับตำแหน่งที่วางโค๊ดนี้ลงไปให้วางไว้ในแท็ก HEAD ตัวอย่าง

<head>

<link rel=”shortcut icon” href=” URL รูปไอคอน .ico”>
หรือ <link rel="shortcut icon" href="URL รูปไอคอน .gif" type="image/gif"> ( กรณีเป็นภาพเคลื่อนไหว )

หรือ <link rel="shortcut icon" href="http://www.เว็บคุณ.com/ URL รูปไอคอน .ico">
</head>
สำหรับทำแล้วไม่ขึ้นให้ดูข้อควรระวังตามนี้
1. ไฟล์เป็นไฟล์ .ico หรือไม่

2. ไฟล์ icon เรียกใช้ถูกที่หรือไม่
3. ตรวจสอบ Version เบราว์เซอร์ที่สนับสนุน





                          Wibiya Toolbar





สมบัติของ Wibiya Toolbar

- สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการภายในบล็อก และ ค้นหาจาก google

- เชื่อมต่อบล็อคของคุณผ่าน Facebook

- ช่วยในการแปลภาษา

- เครื่องมือสำหรับแชร์บทความดีๆในบล็อกของคุณ

- เชื่อมต่อกับ Twitter และยังสามารถ tweet บทความไปยัง Twitter ได้ด้วย

- แสดงบทความล่าสุดของบล็อกถึง 10 บทความ

- สามารถแสดงบทความแบบสุ่มเลือกจากบล็อกของคุณได้

- มีเมนูสำหรับให้ผู้อ่าน Subscript เพื่อรับ Feed บล็อกของคุณ

- แสดงรูปภาพจาก Gallery ใน Flickr

- เชื่อมต่อไปยังหน้าวีดีโอของคุณบน youtubeได้

- มีกล่องข้อความ Notifierสำหรับต้อนรับผู้เยี่ยมชม


วิธีติดตั้ง Wibiya Toolbar

1.ไปที่ wibiya.com แล้วคลิกที่ปุ่ม Get It Now! เพื่อลงทะเบียน

2. กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ในขั้นนี้ต้องใช้ e-mail จริงเพราะจะต้องมีการยืนยันการสมัครจาก e-mail ของคุณ และเลือกภาษาเป็น English เมื่อเสร็จแล้วคลิก Next

3. ในขั้นถัดมาเลือก Theme ที่เข้ากับ Template ของคุณ

ในขั้นนี้นอกจากเลือก theme แล้วคุณยังสามารถเปลี่ยน icon ของ Toolbar โดย upload จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้

4. ต่อไปเลือก Application ต่าง ๆ ที่ต้องการให้ปรากฎบน Toolbar นี้

ถ้าต้องการลบเครื่องมือใดออกไปก็เพียงคลิกที่ icon นั้นก็ถือเป็นการลบ Application นั้นออกจาก toolbar ทันที

เมื่อทำครบที่ต้องการแล้วให้กด Next

5. เมื่อคลิก Next จากขั้นที่ 4 แล้ว จะปรากฎกล่องข้อความเพื่อให้เราใส่ รหัส user name หรือ feed สำหรับ Application ที่เราได้เลือกไว้

ให้กรอกข้อมูลต่างๆ ลงไปให้ครบ แล้วคลิกปุ่ม Done

ตัวอย่าง ถ้าต้องการให้ Toolbar นี้เชื่อมโยงกับหน้า Fanpageบน Facebook ผมก็คลิกที่ icon Facebook แล้วใส่รหัส Fanpage ของ facebookลงไปเป็นต้นรหัส fanpageบน facebook

6. ขั้นต่อมาเลือกแหล่งการติดตั้ง ให้เลือกตัวเลือก Install on websites and other blog platforms

จากนั้นคัดลอกโค้ดเพื่อนำไปติดตั้งบน blogger

7. การนำโค้ดมาติดตั้งบน blogger ทำได้ดังนี้

Login เข้าไปที่ blogger>>ไปที่แผงควบคุม >> รูปแบบ >> แก้ไข HTML>>ไม่ต้องขยายแม่แบบเครื่องมือ

ค้นหาโค้ด </body> แล้ววางโค้ดที่ได้เตรียมไว้จากขั้นที่ 6 ลงไปก่อนหน้าโค้ดดังกล่าว แล้วบันทึกแม่แบบ ก็จบขั้นตอนการติดตั้งครับ





GOOGLE MAP


วิธีการนำ Google ลง WEBSITE

1.เริ่มด้วยการเข้าไปที่ http://www.google.co.th/

2.จากนั้นเลือกตรงที่ คำว่า แผนที่ หรือ Map ด้านซ้ายบนของเมนู บน WEBSITE

3.เมื่อเข้ามาจะเจอกับกล่องข้อความไห้ทำการใส่ที่อยู่ที่เราต้องการหาเข้าไปจากกด SEARCH

4.ด้านข้างจะมีไห้เลือกว่าเราต้องการดูแผนที่ๆแสดงในแบบไหน

5.เมื่อกดปุ้มลิงค์เข้ามาจะมีหน้าตาแบบนี้ ซึ่งมี 2 ทางเลือกไห้เรา คือ

1. Copy code จาก URL ด้านล่างตรงที่เขียนว่า วาง HTML เพื่อฝังลงเว็บไซต์

2. เลือกตรง กำหนดเองและแสดงตัวอย่างแผนผังที่ตั้งไว้ เพื่อไปหน้าต่อไป

6. เมื่อคลิกเข้าไปจะได้ หน้าต่างดังกล่าวจะมีให้เราเลือก และกำหนด 3 แบบ คือ ขนาดของแผนที่ ตัวอย่างการแสดงผล และ CODE ที่เราต้องการที่จะนำไปวางในเว็บไซต์

7.ทดสอบโดยการ COPY CODE ลงใน NOTEPAGE แล้ว SAVE เป็นไฟล์ .HTML

จากนั้น SAVE เป็นไฟล์ .HTML

8.เมื่อเปิดไฟล์ .HTML ที่เราเซฟไว้





การเชื่อมโยง (ลิงค์)

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะค่ะ ในเว็บไซต์หนึ่ง ๆ จะมีหน้าเพจมากกว่าหนึ่งหน้า อย่างเช่นจากหน้าโฮมเพจก็สามารถคลิกเพื่อเข้าไปดูข้อมูลในหน้าอื่น ๆ ได้ ซึงเราเรียกว่าการเชื่อมโยงเว็บเพจ หรือ การลิงค์ ซึ่งก่อนที่เราจะทำการลิงค์หน้าเว็บเพจ2 หน้าขึ้นไปค่ะ ซึ่งการเชื่อมโยงนี้นอกจากเชื่อมโยงเว็บเพจเข้าโดยกันแล้ว

เราจะต้องมีเว็บเพจอย่างน้อย

ยังมีการเชื่อมโยงอีกหลายรูปแบบค่ะ ซึ่งการเชื่อมโยงกันนี้เอง ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่เราสามารถเข้าไปหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่อีกฝั่งของซีกโลกก็ตาม

การเชื่อมโยงนี้ สามารถแบ่งได้ทั้ง 4 ประเภท คือ

1. การเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ <a href="ไฟล์เว็บเพจ">...สิ่งที่จะลิงค์...</a>

2. การเชื่อมโยงนอกเว็บไซต์ <a href="URL">...สิ่งที่จะลิงค์...</a>

3. การเชื่อมโยงภายในหน้าเว็บเพจ <a name="กำหนดชื่อปลายทาง"></a>

และ <a href="#ชื่อปลายทาง">..สิ่งที่จะลิงค์...</a>

4. การเชื่อมโยงแบบอีเมล์ <a href="mailto: E-mail address ที่ต้องการส่งถึง">..สิ่งที่จะลิงค์...</a>

ในการเชื่อมโยง (ลิงค์) เราสามารถที่จะลิงค์โดยใช้รูปภาพ หรือข้อความก็ได้ โดยเมืื่่อรูปภาพหรือข้อความถูกลิงค์ เมื่อเราทดสอบ ผ่านเว็บบราวเซอร์ สัญลักษณ์เมาส์ของเราจะเปลี่ยนจากภาพลูกศร เป็นภาพมือแทน เมื่อเมาส์ถูกเลื่อนไปอยู่บริเวณที่เราได้ลิงค์ไว้

รูปแบบการเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ

<html>

<head><title> ....การเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ....</title></head>

<body>

<a href="index.html">คลิ๊กที่นี้เพื่อกลับไปหน้าแรก</a><p> <!--ลิงค์โดยใช้ข้อความ ->

<a href="index.html"><img src="home.gif"></a> <!--ลิงค์โดยใช้รูปภาพ ->

</body>

</html>

รูปแบบการเชื่อมโยงนอกเว็บไซต์

<html>

<head><title> ....การเชื่อมโยงนอกเว็บไซต์....</title></head>

<body>

<!--ลิงค์โดยใช้ข้อความ ->

<a href="http://www.nextstepdev.com">ลิงค์มาที่เว็บไซต์ Nextstepdev.com</a><p>

<!--ลิงค์โดยใช้รูปภาพ ->

<a href="http://www.nextstepdev.com"><img src="nextstpdev.gif"></a>

</body>
</html>
การเชื่อมโยงภายในหน้าเว็บเพจ

สำหรับเว็บบ้างเว็บที่มีข้อมูลในแต่ละหน้าเยอะ ๆ ต้องเลื่อนลงไปด้านล่างมาก ๆ ซึ่ง วิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ก็คือการเพิ่มลิงค์เพื่อลิงค์เอกสารในหน้านั้น โดยเราอาจแบ่งตามหัวข้อย่อย ๆ ก็ได้ค่ะ (เหมือนการลิงค์ในหน้านี้ค่ะ) ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นในลักษณะของเมนูย่อยก็ได้ค่ะ นอกจากนี้ ก็สามารถใช้ในกรณีที่ลงไปดูข้อมูลด้านล่างแล้วอยากจะเลื่อนมาที่ด้านบนของเว็บ ในส่วนท้ายเพจ เราก็อาจทำลิงค์ ให้คลิ๊กเพื่อ go to top ได้อย่างรวดเร็วค่ะ คงเคยจะเห็นกันมาบ้างแล้วนะค่ะ (ก็เหมือนการลิงค์ในหน้านี้อีกน่ะแหละค่ะ)

<html>

<head>

<title> ....การเชื่อมโยงภายในหน้าเว็บเพจ โดยคลิ๊กที่ด้านล่าง แล้วเลื่อนขึ้นมาด้านบน....</title>

</head>

<body>

<!--กำหนดชื่อปลายทาง เขียนโค้ดส่วนนี้ไว้บริเวณด้านบนของเพจ->

<a name="top"></a>

<!--ช่วงระหว่างนี้ต้องมีข้อมูลเยอะ ๆ เกินหนึ่งหน้าเพจสกรีนจึงจะเห็นผลการทำงาน->

<!--ลิงค์โดยใช้ข้อความ เขียนโค้ดส่วนนี้ไว้บริเวณด้านล่างของเพจ ->

<a href="#top">Go to Top</a><p>

<!--ลิงค์โดยใช้รูปภาพ เขียนโค้ดส่วนนี้ไว้บริเวณด้านล่างของเพจ ->

<a href="#top"><img src="top.gif"></a>

</body>

</html>

การเชื่อมโยงแบบอีเมล์

สำหรับการเชื่อมโยงแบบนี้ มักจะเห็นบ่อยในเว็บเพจซึ่งเป็นส่วนลิงค์สำหรับให้ผู้เยี่ยมชมส่งเมล์มายังผู้ดูแลเว็บไซต์ โดยใช้ E-mail ตามที่ผู้เขียนเว็บได้ระบุไว้ในแท็กสำหรับลิงค์ การลิงค์แบบนี้นั้นเมื่อผู้ใช้งานคลิ๊กที่ลิงค์ จะมีการเชื่อมโยงไปยังโปรแกรม Microsofe outlook ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับส่งเมล์ตัวหนึ่ง โดยที่ช่อง address To (ปลายทาง) จะปรากฏ E-mail Address ที่ระบุไว้ที่แท็กลิงค์ปรากฏอยู่

<html>

<head><title> ....การเชื่อมโยงแบบอีเมล์....</title></head>

<body>

<!--ลิงค์โดยใช้ข้อความ ->

<a href="mailto:mail@domain.com">ลิงค์เมล์ส่งเมล์ไปที่ mail@domain.com</a><p>

<!--ลิงค์โดยใช้รูปภาพ ->

<a href="mailto:mail@domain.com"><img src="contact.gif"></a>

</body>

</html>

Tip HTML

เทคนิคการเชื่อมโยงแบบอีเมล์

จากโค้ดการเชื่อมโยงแบบอีเมล์ จะเห็นได้ว่าสามารถใช้แบบลิงค์ข้อความ หรือลิงค์รูปภาพก็ได้ แต่ที่อยากแนะนำ คือ ควรจะเป็นลิงค์แบบรูปภาพมากกว่า เพราะการลิงค์แบบรูปภาพจะสร้างความปลอดภัยให้กับอีเมล์มากกว่าค่ะ

คงเคยจะเจอมาบ้างนะค่ะ ที่ในวันหนึ่ง ๆ อีเมล์ของเรามีเมล์ที่เราไม่เคยติดต่อเลย มีเมล์แปลก ๆ เช่นเมล์โฆษณา เชิญชวนซื้อของต่าง ๆ หรือเมล์ขยะที่เรียกว่า Junk Mail แล้วเคยคิดไหมค่ะว่า ผู้ที่ส่งอีเมล์มาหาเรานั้น ได้ที่อยู่อีเมล์เรามาจากไหน คำตอบก็คือ จะมีพวกทำธุรกิจหาอีเมล์ไปขายให้กับผู้สนใจ สำหรับเอาอีเมล์ไปใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจค่ะ ซึ่งเจ้าพวกหาอีเมล์นี้เค้าไม่เข้ามาหาทีละเว็บหรอกค่ะ แต่พวกนี้จะใช้โปรแกรม โดยโปรแกรมจะไปกวาดหาอีเมล์ในเว็บต่าง ๆ อัตโนมัติ ซึ่งรูปแบบของการทำงานก็คือ หาจากข้อความที่ เป็นรูปแบบ xxx@xxxx.xxx ซึ่งหากเราเขียนโค้ดลิงค์เมล์ของเราแบบข้อความ โปรแกรมกวาดเมล์ก็จะได้อีเมล์ของเราไปค่ะ ทีนี้ล่ะค่ะ คุณที่เป็นคนดูแลเว็บ วัน ๆ ก็จะได้เมล์ขยะมาเป็นร้อย ๆ เลยล่ะค่ะ

ข้อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ก็คือ ไม่ควรใส่รูปแบบ xxx@xxxx.xxx บนหน้าเว็บค่ะ แต่ควรสร้างข้อความ xxx@xxxx.xxx เป็นภาพกราฟิค แล้วใช้วิธีลิงค์แบบรูปภาพค่ะ และขอแนะนำอีกสักนิดค่ะ สำหรับคนที่ชอบใช้งานเว็บบอร์ด แสดงความคิดเห็นตามเว็บต่าง ๆ คุณเป็นผู้ที่มีโอกาสโดนโปรแกรมกวาดอีเมล์กวาดอีเมล์ไปเยอะขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณเลิกแสดงความคิดเห็นค่ะ คุณก็ยังแสดงความคิดเห็นได้ตามปกติค่ะ แต่เวลาใส่อีเมล์ ควรใส่ลักษณะนี้แทนค่ะ xxx(@)xxxx.xxx

การลิงค์เอกสารอื่น ๆ

การลิงค์เอกสารอื่น ๆ เช่นการลิงไฟล์ .pdf การลิงค์เอกสารสำหรับให้ดาวนโหลดต่าง ๆ สามารถลิงค์ได้เหมือนรูปแบบที่ 1 เหมือนการลิงค์เชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ เีพียงแค่คุณต้องระบุไฟล์ที่ต้องการเชื่อมโยงให้ถูกต้องค่ะ เช่นใส่ชื่อเป็น filename.pdf หรือ filename.doc การลิงค์แบบนี้ สำหรับไฟล์ .doc บราวเซอร์ยุคหลัง ๆ จะแสดงเนื้อไฟล์ ส่วนสำหรับ .pdf ในเครื่องจะเปิดดูไฟล์ ต้องลงโปรแกรม Adobe Reader ไว้ด้วยค่ะ ไม่งั้นจะไม่สามารถดูไฟล์ได้ และสำหรับเอกสารที่ต้องการให้ดาวน์โหลด ก็อาจเตรียมไฟล์เป็นไฟล์สกุล .zip เวลาดาวน์โหลด บราวเซอร์จะได้เรียกให้มีการเซฟไฟล์อัตโนมัติค่ะ

แท็ก Comment หรือ หมายเหตุ

จะเห็นว่าในโค้ดของบทความนี้ มีแท็ก <!--........-> อยู่ แท็กนี้เป็นแท็ก Comment ในภาษา html โดยข้อความที่ปรากฏอยู่ในแท็กนี้ จะไม่แสดงผลออกทางเว็บบราวเซอร์ค่ะ







               เทคนิคการทำเว็บให้ติดอันดับ

1. การทำ Search Engineการทำ Search Engine
ฟังเหมือนง่าย แต่ยากที่จะทำ แต่เป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้คนเข้าเว็บไซต์ของเราได้เยอะที่สุดและดีที่สุด เพราะ 80% นั้นคนที่เข้าเว็บไซต์ของเรามาจาก Search Engine กันทั้งนั้น โดยการทำ เว็บไซต์ให้ Google รู้จักนั้น มีดังนี้
1.1 ใส่ Keyword ใน Title ของหน้าเว็บ
การใส่ keywords ใน title นี้จะช่วยทำให้ Search Engine ต่างๆ รู้ว่า เว็บเราทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีผลกับการทำ adsense ด้วยนะ เพราะโฆษณาที่ปรากฏนี้จะอ่านจาก title นี้เป็นสำคัญทีเดียวตัวอย่างการใช้งาน :[title] keyword หลัก , keyword รอง , keyword อื่นๆ [/title] เป็นต้น
1.2 การใส่ Key Word ที่ต้องการในส่วนด้านบนของเว็บไซต์และการเน้นด้วยตัวหนาใส่ keywords ที่เราต้องการให้ระบบของ google จับไปว่า เว็บไซต์ของเราทำเรื่องเกี่ยวกับอะไรนั้น ก็ควรใส่ keywords นั้นๆ เป็นตัวหนา เป็น head1 head2 ยิ่งดีนะ เพราะ พวก search Engine ที่เข้ามาเก็บข้อมูลนั้นจะได้เข้ามาได้ง่ายๆ และรู้ว่า ทั้งเว็บนี้คือเรื่องอะไรตัวอย่างการใช้งาน : [H1] Keyword [/h1] หรือ [H2] Keyword [/H2]
ตัวอย่างการใช้งาน : [BODY][B] Keyword [/B][/BODY]
1.3 หลีกเลี่ยงการออกแบบเว็บไซต์ด้วย Flash หรือรูปภาพเยอะ
ไม่มีตัวหนังสือการทำเว็บไซต์ด้วยการมี flash หรือรูปภาพล้วนๆ นั้น Search Engine ต่างๆ เมื่อเข้ามาถึงเว็บไซต์เราแล้ว จะอ่านไม่ออกนะ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้ flash หรือรูปภาพ มีได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่าทำทั้งเว็บ เพราะ Search engine มันอ่านได้แต่ตัวอักษรหรือ html ปกติเท่านั้น
1.4 หลีกเลี่ยงใช้ออกแบบเว็บไซต์ด้วยเฟรม
การใช้เฟรม ก็เป็นการออกแบบเว็บไซต์อีกแบบที่ Search Engine อ่านข้อมูลในเว็บไซต์เรา แล้วไม่เจอ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้นะ
1.5 ใช้ keyword ที่บริเวณ ลิงค์เชื่อมโยงมาตรฐาน (Standard Text Link)
คือการเชื่อมโยงในลักษณะ การใช้ Text link เป็นตัวเชื่อมโยง แล้วแทรก Keyword ผสมเข้าไปด้วยตัวอย่างการใช้งาน : [a href=http://www.basicstep.blogspot.com/] Keyword [/a]
1.6 ควรตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ และใส่คำอธิบายให้กับภาพการตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ และการใส่คำอธิบายให้กับภาพนั้น มีผลมากๆ กับการทำ AdSense เพราะระบบของ google จะวิ่งมาจับแม้กระทั่งชื่อรูปภาพที่เราใส่ลงไปด้วยนะ ว่าในเว็บเราเป็นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น เปิ้ลทำเรื่องดูดวง รูปภาพก็ควรเป็น horoscope-1.jpg เป็นต้น ไม่ใช่ ใช้ image1.jpg ค่ะ และเน้นย้ำรูปภาพด้วย keywords ซ้ำ ด้วย Alt ตัวอย่างการใช้งาน : [img src="images address" alt="Keyword"]
1.7 จด Domain name ด้วย Keyword
(Domain name register)การใช้ Keyword หลักของเว็บในการจด Domain name นั้นหากทำได้ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะระบบ AdSense จะมองที่ domain เป็นสำคัญตัวอย่างการใช้งาน : http://www.basicstep.blogspot.com/
1.8 เรียก Robot เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เราสามารถเรียก robot ของ google ให้เข้ามาเยี่ยมชมที่เว็บไซต์เราได้โดย เข้าไปที่ http://www.google.com/addurl/ เพื่อ add ชื่อเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ google เข้าไปเก็บข้อมูลและเนื้อหาของเราและใส่ เว็บไซต์ของเราลงไปในฐานข้อมูลของ google
1.9 แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ
อันนี้คงแทบไม่ต้องบอกกันเลยมั๊งค่ะ ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง?? เพราะเป็นวิธีที่นิยมกันมามากแล้ว คือ ไปติดต่อกับเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อขอแลกลิงค์กับเว็บไซต์นั้นๆ เมื่อมีผู้เข้าชมที่เราแลกลิงค์ด้วย เขาก็อาจจะแวะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเช่นกัน ข้อควรระวัง : ควรแลกลิงค์กับเว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายและศีลธรรมนะคะ คือไม่ควรแลกลิงค์กับเว็บไซต์ ลามก, อบายมุขทั้งหลาย เพราะเราอาจจะติดร่างแห เข้าร่วมวงดนตรี “google ban” ได้ง่ายๆ
1.10 ทำ Site Map ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
การทำ Site Map นี้ จะช่วยให้ เมื่อระบบของ google วิ่งมาในเว็บไซต์เราแล้ว รู้ว่า ควรจะไปทางไหน เหมือนกับเป็นแผนที่นำทาง พา google ไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เราให้ครบทุกจุด

2. การเพิ่ม link
การเพิ่ม link เป็นหลักสำคัญมากอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้มีคนรู้จักเว็บไซต์ของเรา โดยที่การเพิ่ม link มีอยู่ 2 แบบ คือ การแลกลิงค์ (Link Exchange) และ การทำ one way link การแลกลิงค์ (Link Exchange) ก็อย่างที่เราทราบๆ กันดีนะว่า ส่งไปขอให้เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา ส่ง link มาให้เรา และทางเว็บไซต์ของเราเองก็ส่ง link กลับไปให้ทางเว็บไซต์ของเขาด้วยเช่นกันส่วนการทำ one way link นั้น ถ้าแปลกันตรงๆ ก็คือ ทำ link ทางเดียว ด้วยการที่ ทำอย่างไรก็ได้ ให้เขาส่ง link ให้เรา แต่เราจะไม่ส่ง link กลับไปให้ทางเว็บไซต์นั้นๆ ที่ส่งมาให้ เช่น การที่เว็บของเรามีเนื้อหาที่ดี ก็จะมีบางเว็บไซต์นำ link ของเราไปติดที่เว็บไซต์ของเขา โดยที่เราไม่ต้องร้องขอค่ะ ซึ่ง link ที่ได้มานี้ จะทำให้เว็บเราได้รับคะแนนจาก google ดีขึ้น และช่วยในการทำ SEO เป็นอย่างดีทีเดียว
3. การทำ E-mail Ads
การทำ E-mail Ads นั้น ก็คือ การทำโฆษณาผ่านทาง e-mail นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่เมล์ลักษณะนี้ เป็นลักษณะของการทำ spam mail ซะส่วนใหญ่ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เท่าที่ควร ถ้าเราไม่ทำการ spam mail แล้วล่ะก็ การทำ e-mail ads นั้น ถือว่า เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ของเราที่ได้ผลดีที่สุดเลยทีเดียว ส่วนการทำ E-mail ads นั้น ก็สามารถเริ่มทำได้จากการที่ทำหน้า ให้รับ newsletter ที่หน้าเว็บไซต์ของเราเอง ข้อมูลของสมาชิกที่เข้ารับ newsletter จากเรานั้น ก็จะถูกเก็บเป็นฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการโปรโมทเว็บไซต์ของเราในเว็บที่สร้างใหม่ได้เรื่อยๆ
4. การทำ signature
การทำ Signature นั้น เป็นลักษณะของการทำ One way link อีกแบบหนึ่งเช่นกัน เราสามารถทำ signature ได้ง่ายๆ ด้วยการทำ signature ใน e-mail ของเราเอง เพราะเมล์บางฉบับที่เรา fwd ต่อๆ กันไปนั้น อาจจะมีคนสนใจแล้วเขามาที่เว็บไซต์เราก็เป็นได้ หรือ อาจจะทำ signature ตาม web board ต่างๆ ที่มีกันอยู่อย่างมากมาย เมื่อเราโพสบ่อยๆ เข้า link ก็จะสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ถือว่าการทำ signature นี้ เป็นการสร้าง link ให้กับเว็บไซต์ของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง ทำให้คนในเว็บบอร์ดนั้นๆ รู้จักและเข้าเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น
5. การใช้สื่อ offline
อย่าลืม… สื่อ offline ทีเดียวนะ เพราะสื่อ offline ให้ผลทาง online ได้ดีทีเดียว โดยสื่อ offline ที่เป็นที่นิยมกันมากคือ การโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ แต่สื่อเหล่านี้ ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก ดังนั้น อาจจะทำในสื่อ offline แบบอื่นๆ เช่น ที่คั่นหนังสือ ทำสติกเกอร์ติดรถ หรือ ใส่เสื้อที่มีชื่อเว็บไซต์ของเราเอง เพราะให้หลายๆ คนมองเห็นและคุ้นตากับชื่อเว็บไซต์เราได้มากที่สุด
6. การลงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ
การลงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ อันได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ ต่างๆ พยายามพูดถึงเว็บไซต์ของเราบ่อยๆ จะทำให้ผู้ฟัง คุ้นหู คุ้นตาได้เป็นอย่างดี
7. อื่นๆ
การโฆษณาประเภทสุดท้ายนี้ คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้คนอื่นรู้จักเว็บไซต์ของเรา ง่ายๆ เลย ก็คือ การบอกเล่า ปากต่อปาก ซึ่งวิธีการนี้ เป็นการโฆษณาเว็บไซต์ของ google ที่มีชื่อเสียงได้อย่างปัจจุบัน